เมนู

เช่นนี้แหละ สารีบุตร กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของผู้มีอินทรีย์สงบ
มีใจระงับ จักสงบระงับ เพราะฉะนั้นแหละ สารีบุตร เธอพึงศึกษาว่า
จักนำกายและจิตที่สงบระงับแล้วเท่านั้นเข้าไปในเพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย
ดูก่อนสารีบุตร เธอควรศึกษาเช่นนี้แหละ ดูก่อนสารีบุตร พวกอัญญ-
เดียรถีย์ปริพาชกที่ไม่ได้ฟังธรรมบรรยายนี้ ได้พากันฉิบหายเสียแล้ว.
จบสูตรที่ 5

อรรถกถาสูตรที่ 5



ในสูตรที่ 5 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ปุพฺพาราเม ได้แก่ ณ อารามทางทิศตะวันออกกรุงสาวัตถี.
บทว่า มิคารมาตุปาสาเท ได้แก่ เป็นปราสาทของอุบาสิกาชื่อวิสาขา.
ก็อุบาสิกาวิสาขานั้น เรียกกันว่า มิคารมารดา เพราะท่านมิคารเศรษฐี
( พ่อผัว ) ตั้งไว้ในฐานะมารดาด้วย เพราะมีชื่อเหมือนชื่อของเศรษฐีผู้
เป็นปู่ [วิสาขเศรษฐี] ซึ่งเป็นบุตรคนหัวปีด้วย. ปราสาทที่นางวิสาขา
สร้าง มีห้อง 1,000 หัอง ชื่อว่าปราสาทมิคารมารดา. พระเถระพักอยู่
ในปราสาทนั้น. บทว่า ตตฺร โข อายสฺมา สารีปุตฺโต ความว่า
พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระพักอยู่ในปราสาทนั้น.
บทว่า ภิกฺขู อามนฺเตสิ ความว่า พระเถระเรียกเวลาไหน. เพราะ
สูตรบางสูตร กล่าวว่าก่อนภัตก็มี บางสูตรว่า หลังภัต บางสูตรว่า
ยามแรก บางสูตรว่า ยามกลาง บางสูตรว่า ยามท้าย. ก็ปฏิปทาสูตรใน
สมจิตตวรรคนี้ กล่าวว่า หลังภัต ฉะนั้น พระเถระจึงเรียกภิกษุทั้งหลาย
เวลาเย็น. ความจริงสูตรนี้ พระเถระมิได้กล่าวองค์เดียวเท่านั้น แม้

พระตถาคตก็ตรัส. ถามว่า ประทับนั่งที่ไหน ตอบว่า ประทับนั่ง ณ
รัตนปราสาทของนางวิสาขา. จริงอยู่ 20 พรรษาตอนปฐมโพธิกาล
พระตถาคตมิได้ประทับอยู่ประจำ ที่ใด ๆ มีความผาสุก ก็เสด็จไปประทับ
อยู่ ณ ที่นั้น ๆ นั่นแล.
พรรษาแรก ทรงประกาศธรรมจักร ณ ป่าอิสิปตนะ ให้มหาพรหม
18 โกฏิดื่มน้ำอมฤต ทรงอาศัยกรุงพาราณสีประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนะ
พรรษาที่ 2 ทรงอาศัยกรุงราชคฤห์ ประทับอยู่ ณ เวฬุวันวิหาร
พรรษาที่ 3 และ ที่ 4 ก็ประทับอยู่ เวฬุวันวิหารนั้นแหละ
พรรษาที่ 5 ทรงอาศัยกรุงเวสาลี ประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา
ป่ามหาวัน
พรรษาที่ 6 ประทับอยู่ ณ มกุลบรรพต
พรรษาที่ 7 ประทับอยู่ (ณ ปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์) บนสวรรค์
ชั้นดาวดึงส์
พรรษาที่ 8 ทรงอาศัยสุงสุมารคิรนคร แคว้นภัคคะ ประทับอยู่
ณ เภสกฬาวัน.
พรรษาที่ 9 ประทับอยู่ ณ กรุงโกสัมพี
พรรษาที่ 10 ประทับอยู่ ณ ไพรสณฑ์ปาลิเลยยกะ
พรรษาที่ 11 ประทับอยู่ ณ พราหมณคาม เมืองนาลา
พรรษาที่ 12 ประทับอยู่ เมืองเวรัญชา
พรรษาที่ 13 ประทับอยู่ ณ จาลิยบรรพต
พรรษาที่ 14 ประทับอยู่ ณ เชตวันวิหาร

พรรษาที่ 15 ประทับอยู่ ณ กรุงกบิลพัสดุ์
พรรษาที่ 16 ทรงโปรดอาฬวกยักษ์ ให้สัตว์แปดหมื่นสี่พันดื่มน้ำ
อมฤต ประทับอยู่ ณ เมืองอาฬวี
พรรษาที่ 17 ประทับอยู่ ณ กรุงราชคฤห์อีก
พรรษาที่ 18 ประทับอยู่ ณ จาลิยบรรพตอีก
พรรษาที่ 19 ประทับอยู่ ณ จาลิยบรรพตเหมือนกัน
พรรษาที่ 20 ทรงอาศัยกรุงราชคฤห์นั้นแล ประทับอยู่.
20 พรรษาแรก พระตถาคตมิได้ประทับอยู่ประจำดังกล่าวมานี้
ที่ใด ๆ มีความผาสุก ก็ประทับอยู่ ที่นั้น ๆ นั้นแล. ต่อจากนั้น ทรง
ใช้เสนาสนะ 2 แห่งเป็นประจำ. 2 แห่ง คือที่ไหนบ้าง. คือ เชตวัน 1
บุพพาราม 1. เพราะเหตุไร. เพราะ 2 ตระกูลมีคุณมาก. พระศาสดา
ทรงใช้สอยเสนาสนะ 2 แห่งนั้นเป็นประจำ เพราะทรงอาศัยคุณ ซึ่ง
หมายถึงคุณของท่านอนาบิณฑิกและนางวิสาขา. แม้เสด็จจาริกไปใน
ฤดูฝน เมื่อวันเข้าพรรษาก็ประทับอยู่ เสนาสนะ 2 แห่งนั่นแหละ.
พระองค์ประทับอยู่อย่างนี้ กลางคืนประทับอยู่ ณ พระเชตวัน รุ่งขึ้น
แวดล้อมไปด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จข้าไปบิณฑบาตยังกรุงสาวัตถี ทางประตู
ทิศใต้ แล้วเสด็จออกทางประทูทิศตะวันออก ทรงพักผ่อนกลางวัน
บุพพาราม. กลางคืนประทับอยู่ ณ บุพพาราม รุ่งขึ้น เสด็จเข้าไปบิณฑบาต
ยังกรุงสาวัตถี ทางประตูทิศตะวันออก แล้วเสด็จออกทางประตูทิศใต้
ทรงพักผ่อนกลางวัน ณ พระเชตวัน.
ก็ในวันนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันนั่นเอง.
พระพุทธเจ้าเมื่อประทับอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง ย่อมไม่ทรงเว้นพุทธกิจ 5

ประการเลย. พุทธกิจ 5 ประการนั้น กล่าวไว้พิสดารแล้วในหนหลัง.
บรรดากิจเหล่านั้น เวลาของกิจในปัจฉิมยาม พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
ตรวจดูสัตวโลก ทรงเห็นว่า ชาวกรุงสาวัตถีและเหล่าสัตว์หาประมาณ
มิได้รอบ ๆ กรุงสาวัตถีในพื้นที่คาวุตหนึ่งและกึ่งโยชน์จะได้ตรัสรู้ ต่อ
จากนั้นทรงตรวจดูว่า เวลาไหนหนอ จักมีการตรัสรู้ ทรงเห็นว่า เวลาเย็น
ทรงตรวจดูว่า เมื่อเรากล่าว จักมีการตรัสรู้ หรือว่าเมื่อสาวกกล่าว จัก
มีการตรัสรู้ ทรงเห็นว่า เมื่อพระสารีบุตรเถระกล่าว จักมีการตรัสรู้
ครั้นแล้วทรงตรวจดูว่า นั่งกล่าวที่ไหน จักมีการตรัสรู้ ทรงเห็นว่า
นั่งที่รัตนปราสาทของนางวิสาขา ได้ทรงทราบว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย ย่อมมีประชุมสาวก 3 ครั้ง พระอัครสาวกทั้งหลาย มีประชุม
ครั้งเดียว บรรดาประชุมเหล่านั้น วันนี้จักมีประชุมสาวกของพระธรรม.
เสนาบดีสารีบุตรเถระ ครั้นทรงทราบแล้ว ทรงปฏิบัติพระสรีระแต่เช้า
ทีเดียว ทรงนุ่งสบง ห่มสุคตจีวร ทรงถือบาตรเสลมัยบาตรหิน แวดล้อม
ไปด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จเข้าเมืองทางประตูทิศใต้ เสด็จบิณฑบาตอยู่ ทรง
ทำให้ภิกษุสงฆ์หาบิณฑบาตได้ง่าย เสด็จหวนกลับออกทางประตูทิศใต้
เหมือนเรือที่ต้องลม ประทับยืนอยู่นอกประตู. ลำดับนั้น พระอสีติมหา-
สาวก ภิกษุณีบริษัท อุบาสกบริษัท อุบาสิกาบริษัท รวมเป็นบริษัท 4
แวดล้อมพระศาสดา. พระศาสดาตรัสเรียกพระสารีบุตรเถระมารับสั่งว่า
สารีบุตร เธอควรจะไปบุพพาราม จงพาบริษัทของเธอไป. พระเถระ
รับพระพุทธดำรัสว่า ดีแล้ว พระพุทธเจ้าข้า แวดล้อมด้วยภิกษุบริวาร
ของตนประมาณ 500 รูป ได้ไปยังบุพพาราม. พระศาสดาทรงส่งพระ-
อสีติมหาสาวกไปยังบุพพารามเหมือนกันโดยทำนองนี้แหละ พระองค์เอง

เสด็จไปพระเชตวันกับพระอานนทเถระองค์เดียวเท่านั้น. แม้พระอานนท-
เถระก็กระทำวัตรแด่พระศาสดาแล้วถวายบังคมกราบทูลว่า ข้าพระองค์จะ
ไปบุพพาราม พระเจ้าข้า. ตรัสว่า ไปเถิดอานนท์. พระอานนทเถระ
ถวายบังคมพระศาสดาแล้วได้ไปในบุพพารามนั้นทีเดียว. พระศาสดาทรง
คอยอยู่ที่พระเชตวันพระองค์เดียวเท่านั้น. ก็วันนั้น บริษัท 4 ประสงค์
จะฟังธรรมกถาของพระเถระเท่านั้น. แม้พระเจ้าโกศลมหาราชก็แวดล้อม
ไปด้วยพลนิกาย เสด็จไปยังบุพพารามเหมือนกัน. ท่านอนาถบิณฑิก-
คฤหบดีมีอุบาสก 500 คนเป็นบริวาร ก็ได้ไปเหมือนกัน. ฝ่ายมหา-
อุบาสิกาวิสาขา แวดล้อมไปด้วยหญิง 1,000 คน ได้ไปแล้ว . ในกรุง
สาวัตถี ซึ่งเป็นที่อยู่ของตระกูลที่องอาจ 5,700,000 ตระกูล ชนทั้งหลาย
นอกจากเด็กเฝ้าบ้าน ต่างพากันถือจุรณของหอมและดอกไม้เป็นต้นไปยัง
บุพพารามกันทั้งนั้น. และมนุษย์ทุกหมู่เหล่า ในที่คาวุตหนึ่ง กึ่งโยชน์
และโยชน์หนึ่ง ในหมู่บ้านที่ประตูเมืองทั้ง 4 ได้ถือจุรณของหอมและ
ดอกไม้เป็นต้นไปยังบุพพาราม. ทั่วทั้งวิหารได้เป็นเหมือนเกลื่อนกลาดไป
ด้วยดอกไม้ทั้งหลาย. แม้พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระก็ได้ไปยังวิหาร
ยืนอยู่ ณ ที่เป็นเนินในบริเวณวิหาร. ภิกษุทั้งหลายช่วยกันปูลาดอาสนะ
ถวายพระเถระ. พระเถระนั่งบนอาสนะนั้น เมื่อพระเถระผู้อุปัฏฐากกระทำ
วัตรแล้ว ให้โอวาทแก่ภิกษุสงฆ์ เข้าไปยังคันธกุฎี นั่งเข้าสมาบัติ.
ได้เวลาตามกำหนด ท่านออกจากสมาบัติ ไปยังแม่น้ำอจิรวดี ชำระ
เหงื่อไคลระงับความกระวนกระวาย แล้วขึ้นจากน้ำทางท่าที่ลงนั่นแหละ
ครองสบงจีวรแล้วยืนห่มสังฆาฏิ. แม้ภิกษุสงฆ์ก็ลงสรงน้ำพร้อมกัน ชำระ
เหงื่อไคลแล้วกลับขึ้นมาแวดล้อมพระเถระ. แม้ภายในวิหารก็ได้จัดปูลาด

ธรรมาสน์ไว้สำหรับพระเถระ. บริษัททั้ง 4 รู้โอกาสของตน ๆ จึงนั่ง
เว้นทางไว้. พระสารีบุตรเถระแวดล้อมด้วยภิกษุประมาณ 500 รูป มา
ยังธรรมสภา นั่งผินหน้าไปทางทิศตะวันออก จับพัดวีชนีอันวิจิตร บน
รัตนบัลลังก์ที่ยกเศวตฉัตรขึ้น ซึ่งประดิษฐานอยู่บนหัวสิงห์ [รูป] . ครั้น
นั่งแล้วแลดูบริษัท คิดว่า บริษัทนี้ใหญ่เหลือเกิน การแสดงธรรมเบ็ดเตล็ด
มีประมาณน้อย ไม่สมควรแก่บริษัทนี้ แสดงธรรมข้อไหนจึงจักสมควร
หนอ เมื่อนึกถึงพระไตรปิฎก จึงได้เห็นธรรมเทศนาว่าด้วยสังโยชน์นี้
ครั้นกำหนดธรรมเทศนาอย่างนี้แล้ว ประสงค์จะแสดงข้อนั้น จึงเรียก
ภิกษุทั้งหลายว่า อาวุโส ภิกฺขโว ดังนี้.
คำว่า ภิกฺขโว ไม่กล่าวว่า อาวุโส พระพุทธเจ้าทรงใช้เรียกภิกษุ
ทั้งหลาย. ก็ท่านพระสารีบุตรนี้คิดว่า เราจักไม่เรียกเหมือนพระทศพล
เมื่อจะเรียกสาวก จึงกล่าวว่า อาวุโส ภิกฺขเว ดังนี้ ด้วยความเคารพ
ในพระศาสดา. บทว่า เอตทโวจ ความว่า ท่านพระสารีบุตรได้กล่าว
คำนี้ คือบทธรรมเทศนาว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ข้าพเจ้าจักแสดงบุคคล
ผู้มีสังโยชน์ภายใน และบุคคลผู้มีสังโยชน์ภายนอก ดังนี้. ก็ที่รัตน-
ปราสาทนั้น มีเทพบุตรเป็นพระโสดาบันสิงอยู่องค์หนึ่ง พอพระพุทธเจ้า
หรือพระสาวกทั้งหลายเริ่มเทศนาเท่านั้น เทพบุตรองค์นั้นก็ทราบว่า
เทศนานี้จักตื้น เทศนานี้จักลึก เทศนานี้จักพาดพิงฌาน เทศนานี้จัก
พาดพิงวิปัสสนา เทศนานี้จักพาดพิงมรรค เทศนานี้จักพาดพิงผล เทศนา
นี้จักพาดพิงถึงพระนิพพาน. แม้ในวันนั้น พอพระเถระเริ่มเทศนาเท่านั้น
เทพบุตรองค์นั้นก็ทราบได้ว่า พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระผู้เป็น
เจ้าของเรา เริ่มเทศนาโดยทำนองใด ๆ ก็ตาม เทศนานี้จักหยั่งลงถึง

วิปัสสนา พระเถระจักกล่าววิปัสสนาโดยมุขทั้ง 6 เวลาจบเทศนา เทวดา
พันโกฏิจักบรรลุพระอรหัต ส่วนเทวดาและมนุษย์ที่เป็นพระโสดาบัน
เป็นต้น กำหนดไม่ได้ เราจักถวายสาธุการแด่พระผู้เป็นเจ้าของเราให้
สมควรแก่เทศนา จึงใช้เทวานี้ภาพเปล่งเสียงดัง กล่าว่า สาธุ สาธุ
พระผู้เป็นเจ้า ดังนี้ .
เมื่อเทวราชให้สาธุการ เหล่าเทวดาผู้สิงสถิตอยู่ที่ปราสาท 1,000
องค์ซึ่งเป็นบริวาร ก็พากันให้สาธุการพร้อมกันทั้งหมดทีเดียว. ด้วย
เสียงสาธุการของเทวดาเหล่านั้น เหล่าเทวดาที่อยู่ในบุพพารามได้ให้
สาธุการ. ด้วยเสียงของเทวดาที่อยู่ในบุพพารามเหล่านั้น เหล่าเทวดาที่อยู่
ในพื้นที่ประมาณคาวุตหนึ่งได้ให้สาธุการ ต่อจากนั้น เหล่าเทวดาผู้อยู่
ในพื้นที่กึ่งโยชน.์ เหล่าเทวดาผู้อยู่ในพื้นที่โยชน์หนึ่ง เหล่าเทวดาใน
จักรวาลหนึ่ง สองจักรวาล สามจักรวาล ฯลฯ รวมเป็นเหล่าเทวดา
ในหมื่นจักรวาล ได้ให้สาธุการโดยอุบายนี้ ด้วยประการฉะนี้. ด้วยเสียง
สาธุการของเทวดาเหล่านั้น เหล่านาคที่อยู่ในแผ่นดิน และเหล่าเทวดา
ที่อยู่ในอากาศได้ให้สาธุการ ต่อจากนั้น เทวดาเมฆหมอก เทวดาเมฆร้อน
เทวดาเมฆหนาว เทวดาเมฆฝน มหาราชทั้ง 4 ชั้นจาตุนหาราชิกา ท้าว
สักกเทวราช ชั้นดาวดึงส์ สุยามเทวราช เทวดาชั้นยามา สันตุสิตเทวราช
เทวดาชั้นดุสิต นิมมานรดีเทวราช เทวดาชั้นนิมมานรดี วสวัตดีเทวราช
เทวดาชั้นวสวัตดี พรหมปาริสัชชา พรหมปุโรหิตา มหาพรหม พวก
ปริตตาภา พวกอัปปมาณาภา พวกอาภัสสรา พวกปริตตสุภา พวก
อัปปมาณสุภา พวกสุภกิณหา พวกเวหัปผลา พวกอวิหา พวกอตัปปา
พวกสุทัสสา พวกสุทัสสี และเทวดาพวกอกนิฏฐา รวมเทวดาทั้งปวง

ในที่ที่พอจะฟังเสียงได้ นอกจากพวกอสัญญีและพวกอรูปาวจร ได้ให้
สาธุการ. ต่อจากนั้น เหล่ามหาพรหมผู้เป็นพระขีณาสพรำพึงว่า เสียง
สาธุการนี้ดังจริงหนอ มาจากพื้นแผ่นดินจนถึงชั้นอกนิฏฐา นี่เรื่องอะไร
กันหนอ คิดว่า พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ นั่งที่รัตนปราสาทของ
นางวิสาขา ในบุพพาราม เริ่มแสดงธรรมว่าด้วยสังโยชน์ แม้พวกเราก็
ควรจะเป็นกายสักขีในที่นั้น จึงได้พากันไปในที่นั้น. บุพพารามจึงเต็ม
ไปด้วยเทวดาทั้งหลาย. ที่รอบๆ บุพพารามคาวุตหนึ่ง กึ่งโยชน์ โยชน์หนึ่ง
ขยายไปทั่วจักรวาล ด้านขวางใต้แผ่นดิน จดขอบจักรวาล เนืองแน่น
ไปด้วยเหล่าเทวดาหมื่นจักรวาลมาประชุมกัน. เทวดา 60 โกฏิเบื้องบน
ได้ยินเนรมิตอัตภาพให้ละเอียด ในที่เท่าปลายเหล็กแหลมจดลง.
ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรรำพึงว่า โกลาหลนี้ให้จริงหนอ. นี่
เรื่องอะไรกัน ได้เห็นเทวดาที่อยู่ในหมื่นจักรวาลมารวมกันอยู่ในจักรวาล
เดียว อนึ่ง เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มีความจำเป็นเรื่องอธิษฐาน
ทรงเห็นและให้ได้ยินเสียงโดยประมาณบริษัทเท่านั้น แต่เหล่าสาวกควร
อธิษฐาน ฉะนั้น พระเถระจึงเข้าสมาบัติ ออกจากสมาบัติแล้วจึงอธิฐาน
ด้วยมหัคคคจิตว่า ขอบริษัททั่วถึงขอบจักรวาลทั้งหมดจงเห็นเรา และ
เมื่อเราแสดงธรรมจงได้ยินเสียง. จำเดิมแต่เวลาที่พระเถระอธิฐาน ผู้ที่
นั่งอยู่ข้างเข่าขวาพระเถระก็ตาม ที่ขอบปากจักรวาลก็ตาม ไม่มีเรื่องที่จะ
ต้องพูดว่า พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระเป็นเช่นไร สูง ต่ำ ดำ ขาว
อย่างไร. พระเถระได้ปรากฏเฉพาะหน้าของบริษัททั้งหมดที่นั่งอยู่ทุกทิศ
เหมือนดวงจันทร์ที่ลอยอยู่กลางนภากาศ. แม้เมื่อพระเถระกำลังแสดงธรรม
อยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหมด ที่นั่งอยู่ข้างเข่าขวาพระเถระก็ตาม ที่ขอบ

ปากจักรวาลก็ตาม ต่างได้ฟังเสียงพร้อมกันเลยทีเดียว. ครั้นอธิฐานแล้ว
พระเถระจึงเริ่มแสดงบุคคลผู้มีสังโยชน์ภายใน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อชฺฌตฺตํ ได้แก่ กามภพ. บทว่า
พหิทฺธา ได้แก่ รูปภพและอรูปภพ. จริงอยู่ สัตว์ทั้งหลายมีเวลาอยู่
ในกามภพน้อย เป็นส่วนที่ 4 ของกัปเท่านั้น เวลา 3 ส่วนนอกนี้
กามภพว่างเปล่า. สัตว์ทั้งหลายมีเวลาอยู่ในรูปภพมากก็จริง ถึงอย่างนั้น
เพราะสัตว์เหล่านั้นมีจุติและปฏิสนธิในกามภพมาก ในรูปภพและอรูปภพ
น้อย และภพใดมีจุติและปฏิสนธิมาก ภพนั้นย่อมมีอาลัยบ้าง ปรารถนา
บ้าง รำพึงรำพันบ้างมาก ภพใดมีจุติและปฏิสนธิน้อย ภพนั้นก็มีอาลัย
ปรารถนาหรือรำพึงรำพ้นน้อย ฉะนั้น กามภพจึงชื่อว่า ภายใน รูปภพ
และอรูปภพจึงชื่อว่า ภายนอก แล. ฉันทราคะในกามภพกล่าวคือภายใน
ชื่อว่า สังโยชน์ภายใน. ฉันทราคะในรูปภพและอรูปภพกล่าวคือภายนอก
ชื่อว่า สังโยชน์ภายนอก.
อีกอย่างหนึ่ง สังโยชน์ 5 ที่เป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ชื่อว่า สังโยชน์
ภายใน.
สังโยชน์ 5 ที่เป็นไปในส่วนเบื้องบน ชื่อว่าสังโยชน์ภายนอก.
ในข้อนั้นมีเนื้อความของคำดังต่อไปนี้ :-
กามธาตุ ท่านเรียกว่า เบื้องต่ำ เหล่าสัตว์ย่อมเกี่ยวข้องเรื่องต่ำ ๆ
นั้น เพราะให้สำเร็จการเกิดในกามธาตุนั้น ฉะนั้น จึงชื่อว่าเป็นไปใน
ส่วนเบื้องต่ำ. รูปธาตุและอรูปธาตุ ท่านเรียกว่า เบื้องบน เหล่าสัตว์
ย่อมเกี่ยวข้องในเบื้องบนนั้น เพราะให้สำเร็จการเกิดในรูปธาตุและอรูป-
ธาตุนั้น ฉะนั้น จึงชื่อว่าเป็นไปในส่วนเบื้องบน. บุคคลผู้ประกอบด้วย
สังโยชน์ภายในมีประเภทดังกล่าวแล้ว ชื่อว่าสังโยชน์ภายใน บุคคล

ผู้ประกอบด้วยสังโยชน์ภายนอก ชื่อว่าผู้มีสังโยชน์ภายนอก ด้วยประการ
ฉะนี้. ทั้งสองนี้จะเป็นชื่อของโลกิยชนส่วนมากที่ยังอาศัยวัฏฏะอยู่ ก็
หามิได้. แต่ทั้งสองนี้เป็นชื่อของพระอริยสาวกชั้นโสดาบัน สกทาคามี
และอนาคามีเหล่านั้นที่กำหนดเป็น 2 พวก. เหมือนอย่างว่า ป่าตะเคียน
และป่าสาละเป็นต้น ย่อมไม่ได้ชื่อว่าเสา ว่าขื่อ ว่าเต้า ย่อมได้ชื่อว่า
ป่าตะเคียน ป่าสาละเท่านั้น แต่เมื่อใดคนใช้ขวานคมตัดต้นไม้จากป่านั้น
แล้วถากโกลนรูป เป็นเสาเป็นต้น ย่อมได้ชื่อว่าเสา ว่าขื่อ ว่าเต้า
เมื่อนั้น ฉันใด ปุถุชนผู้มีกิเลสหนายังกำหนดตัดภพไม่ได้ ก็ฉันนั้น
เหมือนกัน ยังไม่ได้ชื่อนั้น พระโสดาบันเป็นต้นเท่านั้นที่กำหนดตัดภพได้
ทำกิเลสให้เบาบางดำรงอยู่จึงจะได้.
อนึ่ง เพื่อให้เนื้อความนี้แจ่มแจ้ง พึงทราบอุปมาคอกลูกวัวดังต่อ
ไปนี้. เรื่องมีว่า ชาวบ้านทำคอกลูกวัว ตอกหลักข้างในหลายหลัก ใช้
เชือกผูกลูกวัวแล้วเข้าไปผูกไว้ที่หลักเหล่านั้น เมื่อเชือกไม่พอ จึงจับที่หู
ทั้งสองให้ลูกวัวทั้งหลายเข้าคอก พื้นที่ภายนอกไม่เพียงพอ จึงตอกหลัก
ไว้ข้างนอกหลายหลัก แล้วทำ (ผูก) อย่างนั้นเหมือนกัน ที่คอกนั้น
ลูกวัวที่ผูกไว้ข้างในบางตัวนอนข้างนอก บางตัวที่ผูกไว้ข้างนอกนอน
ข้างใน บางตัวที่ผูกไว้ข้างในนอนข้างใน บางตัวที่ผูกไว้ข้างนอกก็นอน
ข้างนอกนั่นเอง บางตัวไม่ได้ผูกไว้ ก็เที่ยวอยู่ข้างในนั่นเอง บางตัว
ไม่ได้ผูกไว้ เที่ยวออกข้างนอกก็มี. บรรดาลูกวัวเหล่านั้น ลูกวัวที่ผูกไว้
ข้างในนอนข้างนอก เชือกที่ผูกยาว. เพราะลูกวัวตัวนั้นถูกความร้อน
เป็นต้นเบียดเบียน จึงออกไปนอนรวมกับลูกวัวทั้งหลายข้างนอก. แม้
ในลูกวัวที่ผูกไว้ข้างนอกเข้าไปนอนข้างใน ก็นัยนี้เหมือนกัน. ส่วนลูกวัว

ตัวใดผูกไว้ข้างใน นอนข้างในนั่นเอง เชือกที่ผูกลูกวัวตัวนั้นสั้น. แม้
ในลูกวัวที่ผูกไว้ข้างนอก นอนข้างนอก ก็นัยนี้แหละ. ลูกวัวทั้งสอง
พวกนั้นคงวนเวียนหลักอยู่ในคอกนั้นเองตลอดวัน. แต่ลูกวัวตัวใดไม่ได้
ผูกไว้ข้างใน ย่อมเที่ยวอยู่ในกลุ่มลูกวัวทั้งหลายในคอกนั้นเอง. ลูกวัวตัว
ที่นอนนี้ ถูดึงหูปล่อยเข้าไปในกลุ่มลูกวัวทั้งหลาย ก็ไม่ไปที่อื่น คง
เดินอยู่ในกลุ่มนั้นเอง. ลูกวัวที่ไม่ได้ผูกไว้ข้างนอกก็ตาม ที่เที่ยวอยู่ใน
คอกนั้นเองก็ตาม ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน.
ในอุปมานั้น พึงทราบว่า ภพ 3 เหมือนคอกลูกวัว. อวิชชา
เหมือนหลักในคอกลูกวัว. สังโยชน์ 10 เหมือนเชือกผูกลูกวัวที่หลัก.
เหล่าสัตว์ที่เกิดในภพ 3 เหมือนลูกวัว. พระโสดาบันและพระสกทาคามี
ในรูปภพและอรูปภพ เหมือนลูกวัวที่ผูกไว้ข้างใน นอนข้างนอก. พระ-
อริยบุคคลเหล่านั้นอยู่ในรูปภพและอรูปภพนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น สังโยชน์
ก็ยังเข้าไปพัวพันท่านเหล่านั้นไว้ในกามาวจรภพ. แม้ปุถุชนในรูปภพและ
อรูปภพ ก็สงเคราะห์เข้าในกามาวจรภพนั้นเหมือนกัน เพราะอรรถว่ายัง
ละสังโยชน์อะไรไม่ได้. จริงอยู่ แม้ปุถุชนนั้นอยู่ในรูปภพและอรูปนั้น
ก็จริง ถึงอย่างนั้น สังโยชน์ก็ยังเข้าไปพัวพันเขาไว้ในกามาวจรภพ
เหมือนกัน. พระอนาคามีในกามาวจรภพ เหมือนลูกวัวที่ผูกไว้ข้างนอก
นอนข้างใน. ด้วยว่า พระอนาคามีนั้น อยู่ในกามาวจรภพก็จริง ถึง
อย่างนั้น สังโยชน์ก็ยังเข้าไปพัวพันท่านไว้ในรูปภพและอรูปภพเหมือน
กัน. พระโสดาบันและพระสกทาคามีในกามาวจรภพ เหมือนลูกวัวที่ผูก
ไว้ข้างใน นอนข้างใน. ด้วยว่า ท่านเหล่านั้นอยู่ในกามาวจรภพเองบ้าง
สังโยชน์เข้าไปพัวพันท่านไว้ในกามาวจรภพบ้าง. พระอนาคามีในรูปภพ

และอรูปภพ เหมือนลูกวัวที่ผูกไว้ข้างนอก นอนข้างนอก ด้วยว่า ท่าน
อยู่ในรูปภพและอรูปภพนั้นเองบ้าง สังโยชน์เข้าไปพัวพันท่านไว้ในรูป-
ภพและอรูปภพบ้าง. พระขีณาสพในกามาวจรภพ เหมือนลูกวัวที่ไม่ได้
ผูกไว้ข้างใน ท่องเที่ยวอยู่ข้างใน. พระขีณาสพในรูปภพและอรูปภพ
เหมือนลูกวัวที่ไม่ได้ผูกไว้ข้างนอก เที่ยวอยู่ข้างนอก. ก็บรรดาสังโยชน์
ทั้งหลาย สังโยชน์ 3 เหล่านี้ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพต-
ปรามาส ไม่ห้ามบุคคลผู้กำลังไปไม่ได้ ผู้ไปแล้วก็นำกลับมาไม่ได้. แต่
สังโยชน์ 2 เหล่านี้ คือ กามฉันทะ ยาบาท อันบุคคลไม่ข่มไว้ด้วย
สมาบัติ หรือไม่ถอนออกด้วยมรรค ย่อมไม่อาจเพื่อให้เกิดในรูปภพและ
อรูปภพได้.
บุรุษวางถุงรัตนะ 2 ถุงไว้ข้างตัว แบ่งรัตนะ 7 ประการให้แก่
บริษัทที่มาหาเต็มคนละ 2 มือ ครั้นให้รัตนะถุงแรกอย่างนี้แล้ว แม้ถุง
ที่ 2 ก็ให้อย่างนั้นเหมือนกัน แม้ฉันใด พระสารีบุตรเถระก็ฉันนั้น
เหมือนกัน ตั้งบท 2 บทเหล่านี้ว่า อชฺฌตฺตสํโยชน์ จ อาวุโส ปุคฺคลํ
เทเสสฺสามิ พหิทฺธาสํโยชนญฺจ
ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ข้าพเจ้าจักแสดง
บุคคลผู้มีสังโยชน์ภายใน และบุคคลผู้มีสังโยชน์ภายนอก ดังนี้ เป็นหัวข้อ
ไว้ก่อน บัดนี้ เพื่อจะแสดงรายละเอียดแก่บริษัท 8 เหล่า จึงเริ่มกถา
อย่างพิสดารนี้ว่า กตโม จาวุโส ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้มี
สังโยชน์ภายในเป็นอย่างไร ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิธ แปลว่า ในศาสนานี้. บทว่า สีลวา
โหติ
ความว่า เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยจตุปาริสุทธิศีล. พระสุธรรมเถระผู้อยู่
ทีปวิหารกล่าวว่า พระเถระยกจตุปาริสุทธิศีลขึ้นแสดงด้วยคำเพียงเท่านี้

แล้วแสดงเชฏฐกศีลในบาลีประเทศนั้นอย่างพิสดาร ด้วยบทนี้ว่า ปาฏิ-
โมกฺขสํวรสํวุโต
สำรวมโดยปาติโมกขสังวร ด้วยประการฉะนี้. ฝ่าย
พระจูฬนาคเถระผู้ทรงพระไตรปิฎก อันเตวาสิกของพระสุธรรมเถระ
กล่าวว่า พระสารีบุตรเถระกล่าวถึงปาติโมกขสังวร แม้ด้วยบททั้งสอง
เพราะปาติโมกขสังวรนั่นแหละเป็นศีล ส่วน 3 อย่างนอกนี้ ย่อมมีฐานะ
ที่เรียกได้ว่า ศีล ดังนี้ . เมื่อไม่คล้อยตาม ท่านยังกล่าวยิ่งขึ้นไปว่า เพียง
รักษาทวาร 6 เท่านั้น ก็ชื่อว่า อินทริยสังวร เพียงให้ปัจจัยเกิดขึ้นโดย
ธรรมโดยสม่ำเสมอ ก็ชื่อว่า อาชีวปาริสุทธิศีล เพียงพิจารณาปัจจัยที่ได้
มาว่า นี้มีประโยชน์ ดังนี้แล้วบริโภค ก็ชื่อว่า ปัจจยสันนิสสิตศีล แต่
ปาติโมกขสังวรเป็นศีลโดยตรง ภิกษุผู้มีปฏิโมกขสังวรแตก ไม่ควรจะ
กล่าวว่า จักรักษาข้อที่เหลือไว้ได้ เหมือนคนศีรษะขาด ก็ไม่ควรกล่าวว่า
จักรักษามือเท้าไว้ได้ฉะนั้น ส่วนภิกษุผู้มีปาติโมกขสังวรไม่ด่างพร้อย
ย่อมสามารถรักษาข้อที่เหลือให้เป็นปกติได้อีก เหมือนคนศีรษะยังไม่ขาด
ย่อมรักษาชีวิตไว้ได้ฉะนั้น พระสารีบุตรเถระจึงแสดงปาติโมกขสังวร
ด้วยบทว่า สีลวา เมื่อจะให้ปาฏิโมกขสังวรนั้นพิสดาร จึงกล่าวว่า
ปาฏิโมกฺขสํวรสํวุโต เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาฏิโมกฺขสํวรสํวุโต ความว่า ผู้ประ-
กอบด้วยความสำรวมในพระปาติโมกข์. บทว่า อาจารโคจรสมฺปนฺโน
ความว่า ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร. บทว่า อณุมตฺเตสุ แปลว่า
ประมาณน้อย. บทว่า วชฺเชสุ ได้แก่ในอกุศลธรรมทั้งหลาย. บทว่า
ภยทสฺสาวี แปลว่า เห็นเป็นภัย. บทว่า สมาทาย แปลว่า ถือเอา
โดยชอบ. บทว่า สิกฺขติ สิกฺขาปเทสุ ความว่า สมาทานศึกษาสิกขาบท
นั้น ๆ. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สมาทาย สิกฺขติ สิกฺขาปเทสุ ความว่า

บรรดาสิกขาบททั้งหลาย คือบรรดาส่วนแห่งสิกขาบททั้งหลาย สิกขาบท
ข้อใดข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นไปทางกายก็ตาม ทางวาจาก็ตาม ที่ควรศึกษา
ถือเอาสิกขาบทนั้น ๆ ทั้งหมดโดยชอบศึกษา. ในเรื่องนี้มีความย่อ ดังนี้ .
ก็บททั้งหลายมีปาฏิโมกขสังวรเป็นต้น เหล่านี้ทั้งหมด กล่าวไว้อย่างพิสดาร
แล้วในคัมภีร์วิสุทธิมรรค และจตุปาริสุทธิศีล ก็แสดงแยกแยะไว้แล้ว
โดยอาการทั้งปวง.
บทว่า อญฺญตรํ เทวนิกายํ ความว่า หมู่เทพจำพวกใดจำพวกหนึ่ง
ในบรรดาหมู่เทพชั้นกามาพจร 6. บทว่า อาคามี โหติ ความว่า เป็น
ผู้มาเกิดในเบื้องต่ำ. บทว่า อาคนฺตา อิตฺถตฺตํ ความว่า เป็นผู้มาสู่ความ
เป็นอย่างนี้ คือความเป็นขันธ์ของมนุษย์นี่แหละ. พระเถระแสดงว่า เป็นผู้
เกิดในภพนั้น หรือเกิดในภพสูงขึ้นไป ก็หามิได้ ย่อมเป็นผู้มาเกิดในภพ
เบื้องต่ำอีกนั่งเอง. ด้วยองค์นี้ ท่านกล่าวถึงมรรคเบื้องต่ำทั้ง 2 และผล
ทั้ง 2 ของภิกษุที่เจริญธาตุกัมมัฏฐาน. ผู้เป็นสุกขวิปัสสก. บทว่า
อญฺญตรํ สนฺคํ เจโตวิมุตฺตึ ความว่า จตุตถฌานสมาบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง
ในสมาบัติ 8. ด้วยว่า จตุตถฌานสมาบัตินั้น เรียกว่า สงบ เพราะกิเลส
ที่เป็นข้าศึกสงบ และเรียกว่า เจโตวิมุตติ เพราะใจพ้นจากกิเลสเหล่านั้น
นั่นแล. บทว่า อญฺญตรํ เทวนิกายํ ได้แก่เทพนิกายจำพวกใดจำพวกหนึ่ง
ในเทพนิกายชั้นสุททวาส 5. บทว่า อนาคนฺตา อิตฺถตฺตํ ความว่า
ไม่มาสู่ความเป็นปัญจขันธ์นี้อีก. พระเถระแสดงว่า ไม่เกิดขึ้นภพเบื้องต่ำ
จะเกิดในภพสูงขึ้นไปเท่านั้น หรือปรินิพพานในภพนั้นเอง. ด้วยองค์นี้
ท่านกล่าวถึงมรรค 3 และผล 3 ของภิกษุผู้ประกอบการบำเพ็ญสมาธิ.
บทว่า กามานํเย นิพฺพิทาย ได้แก่ เพื่อต้องการหน่าย คือเบื่อ

กามทั้งสอง. บทว่า วิราคาย ได้แก่ เพื่อต้องการคลายกำหนัด. บทว่า
นิโรธาย ได้แก่ เพื่อต้องการทำให้เป็นไปไม่ได้. บทว่า ปฏิปนฺโน โหติ
ได้แก่ เป็นผู้บำเพ็ญข้อปฏิบัติ. ด้วยคำเพียงเท่านี้ ย่อมเป็นอันพระเถระ
กล่าวอนาคามิมรรควิปัสสนา เพื่อต้องการให้ความกำหนัดที่เป็นไปใน
กามคุณ 5 ของพระโสดาบันและของพระสกทาคามีสิ้นไป. บทว่า
ภวานํเยว ได้แก่ ซึ่งภพ 3. ด้วยบทนี้ ย่อมเป็นอันพระเถระกล่าว
อรหัตมรรควิปัสสนา เพื่อต้องการให้ความกำหนัดในภพของพระอนาคามี
สิ้นไป. ด้วยบทว่า โส ตณฺหกฺขยาย ปฏิปนฺโน โหติ เธอเป็นผู้ปฏิบัติ
เพื่อความสิ้นตัณหา แม้นี้ เป็นอันพระเถระกล่าวอนาคามิมรรควิปัสสนา
เพื่อทำให้ตัณหาที่เป็นไปในกามคุณ 5 ของพระโสดาบันและพระสกทาคามี
นั้นแลสิ้นไป. ด้วยบทว่า โส โลภกฺขยาย เธอเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความ
สิ้นโลภะ แม้นี้ เป็นอันพระเถระกล่าวอรหัตมรรควิปัสสนา เพื่อ
ต้องการให้ความโลภในภพของพระอนาคามีสิ้นไป. บทว่า อญฺญตรํ
เทวนิกายํ
ได้แก่ เทพนิกายจำพวกใดจำพวกหนึ่ง ในชั้นสุทธาวาส
ทั้งหลายนั่นแหละ. บทว่า อนาคนฺตา อิตฺถติตํ ความว่า ไม่มาสู่ความ
เป็นขันธปัญจกนี้. เป็นผู้ไม่เกิดในภพเบื้องต่ำ เป็นผู้เกิดในภพสูงขึ้นไป
เท่านั้น หรือปรินิพพานในภพนั้นเอง. พระเถระกล่าวมรรคและผล 2
เบื้องต่ำ ของภิกษุผู้เจริญธาตุกัมมัฏฐาน ผู้สุกขวิปัสสก ด้วยองค์แรก
กล่าวมรรคและผล 3 ของภิกษุผู้ประกอบการบำเพ็ญสมาธิ ด้วยองค์ที่ 2
ด้วยประการฉะนี้.
ด้วยบทว่า โส กามานํ เธอเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อดับเสียซึ่งกามทั้งหลาย
นี้ พระเถระกล่าวอนาคามิมรรควิปัสสนาเบื้องสูง เพื่อให้ความกำหนัดที่

เป็นไปในกามคุณ 5 ของพระโสดาบันและพระสกทาคามีทั้งหลายสิ้นไป.
ด้วยบทว่า โส ภวายํเยว เธอเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อตัดเสียซึ่งภพทั้งหลาย
นั่นเทียว นี้ พระเถระกล่าวอรหัตมรรควิปัสสนาเบื้องสูง เพื่อต้องการ
ให้ความกำหนัดในภพของพระอนาคามีสิ้นไป. ด้วยบทว่า โส ตณฺหกฺ-
ขยาย
เธอเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นตัณหา นี้ พระเถระกล่าว
อนาคามิมรรควิปัสสนาเบื้องสูง เพื่อให้ตัณหาที่เป็นไปในกามคุณ 5
ของพระโสดาบันและพระสกทาคามีทั้งหลายสิ้นไป. ด้วยบทว่า โส
โลภกฺขยาย
เธอเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นโลภะ นี้ พระเถระกล่าว
อรหัตมรรควิปัสสนาเบื้องสูง เพื่อให้โลภะของพระอนาคามีสิ้นไป. พระ-
เถระกล่าววิปัสสนา ด้วยหัวข้อทั้ง 6 เทศนาไปตามลำดับอนุสนธิอย่างนี้
ด้วยประการฉะนี้. เวลาจบเทศนา เทวดาพันโกฏิ บรรลุพระอรหัต.
และที่เป็นพระโสดาบันเป็นต้น นับไม่ถ้วน. เมื่อตรัสมหาสมยสูตรก็ดี
มงคลสูตรก็ดี จูฬราหุโลวาทสูตร เทวดาพันโกฏิบรรลุพระอรหัต เหมือน
ในสมาคมนี้. เทวดาและมนุษย์ที่เป็นพระโสดาบันเป็นต้น นับไม่ถ้วน.
บทว่า สมจิตฺตา เทวตา ความว่า เทวดาทั้งหลาย ชื่อว่าเหล่า
สมจิตตา เพราะความที่มีจิตละเอียดเสมอกัน . ด้วยว่า เทวดาเหล่านั้น
ทั้งหมด เนรมิตอัตภาพของตนให้ละเอียดคล้ายจิต เหตุนั้น จึงชื่อว่า
สมจิตตา. ชื่อว่า สมจิตตา ด้วยเหตุอื่น ๆ ก็มี. พระเถระกล่าวสมาบัติ
ก่อน แต่มิได้กล่าวถึงกำลังของสมาบัติ เทวดาทั้งปวงได้มีความคิดเป็น
อย่างเดียวกันว่า พวกเราจักอัญเชิญพระทศพลให้ตรัสกำลังของสมาบัติ
เหตุนั้น จึงชื่อว่า สมจิตตา. เหตุอย่างหนึ่ง พระเถระกล่าวทั้งสมาบัติ
ทั้งกำลังของสมาบัติ โดยปริยายหนึ่ง. เทวดาทั้งหลายตรวจดูว่า ใครบ้าง

หนอมาสมาคมนี้ ใครไม่มา ทราบว่า พระตถาคตไม่เสด็จมา ทั้งหมด
ได้มีความคิดเป็นอย่างเดียวกันว่า พวกเราจักอัญเชิญพระตถาคต ทำบริษัท
ให้บริบูรณ์ เหตุนี้บ้างจึงชื่อว่า สมจิตตา. เหตุอีกอย่างหนึ่ง เทวดา
ทั้งหลายทั้งปวงทีเดียว ได้มีความคิดเป็นอย่างเดียวกันว่า ใคร ๆ ใน
อนาคตไม่ว่าจะเป็นภิกษุ ภิกษุณีก็ตาม เทวดา มนุษย์ก็ตาม จะไม่เคารพ
เพราะคิดว่าเทศนาเรื่องนี้ เป็นสาวกภาษิต (ไม่ใช่พุทธภาษิต) พวกเรา
จักอัญเชิญพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำเทศนาเรื่องนี้ให้เป็นสัพพัญญูภาษิต
เทศนาเรื่องนี้จักเป็นที่ตั้งแห่งความเคารพในอนาคตด้วยอาการอย่างนี้
เหตุนี้บ้างจึงชื่อว่า สมจิตตา. เหตุอีกอย่างหนึ่ง เทวดาเหล่านั้นทั้งหมด
เป็นผู้ได้สมาบัติอย่างเดียวกันบ้าง ได้อารมณ์อย่างเดียวกันบ้าง เหตุนั้น
จึงชื่อว่า สมจิตตา อย่างนี้ก็มี.
บทว่า หฏฺฐา ได้แก่ ยินดี รื่นเริง บันเทิงใจ. บทว่า สาธุ เป็น
นิบาต ในอรรถว่า วิงวอน. บทว่า อนุกมฺปํ อุปาทาย ความว่า อาศัย
ความอนุเคราะห์ กรุณาเอ็นดูพระเถระ. ความจริงในฐานะแม้นี้ ไม่มีกิจ
ที่จะต้องอนุเคราะห์พระเถระ. ในวันที่พระศาสดากำลังตรัสเวทนากัมมัฏ-
ฐาน แก่ทีฆนขปริพาชกผู้เป็นหลาน ที่ประตูถ้ำสูกรขาตะ พระเถระ
ยืนถือก้านตาลถวายงานพัดพระศาสดาอยู่ ได้สำเร็จสาวกบารมีญาณ โดย
ไม่ต้องชี้แจง เหมือนคนบริโภคโภชนะที่เขาคดไว้เพื่อผู้อื่น บรรเทาความหิว
และเหมือนคนเอาเครื่องประดับที่เขาจัดไว้เพื่อผู้อื่น มาสวมศีรษะตน
ในวันนั้นแหละ ชื่อว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุเคราะห์แล้ว. เทวดา
ทั้งหลายทูลวิงวอนพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรด
เสด็จไปอนุเคราะห์เหล่าเทวดาและมนุษย์ที่เหลือ ซึ่งอยู่ ณ ที่นั้น. บทว่า

พลวา ปุริโส ความว่า คนกำลังน้อยไม่สามารถจะคู้แขนเข้าหรือเหยียด
แขนออกได้ฉับพลัน คนมีกำลังเท่านั้นสามารถ เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวดังนี้.
บทว่า สมฺมุเข ปาตุรโหสิ ความว่า ได้ปรากฏในที่พร้อมหน้า คือต่อหน้า
ทีเดียว.
บทว่า ภควา เอตทโวจ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้
คือเหตุที่พระองค์เสด็จมา โดยนัยว่า อิธ สารีปุตฺต เป็นต้น. เล่ากันมาว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้มีพระดำริอย่างนี้ว่า ถ้าคนพาลอกตัญญูบางคน
ไม่ว่าเป็นภิกษุ ภิกษุณีก็ตาม เป็นอุบาสก อุบาสิกาก็ตาม จะพึงคิด
อย่างนี้ว่า พระสารีบุตรเถระได้บริษัทมากมายเหลือเกิน พระสัมมา-
สัมพุทธเจ้าไม่อาจจะทรงอดกลั้นเรื่องอย่างนี้ได้ จึงเสด็จมาทรงตั้งบริษัท
ด้วยความริษยา ผู้นั้นคิดประทุษร้ายเรา ดังนี้ จะพึงบังเกิดในอบาย.
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อตรัสถึงเหตุที่พระองค์เสด็จมา ได้ตรัสพระพุทธ-
ดำรัสว่า อิธ สารีปุตฺต เป็นต้น. ครั้นตรัสถึงเหตุที่พระองค์เสด็จมา
อย่างนี้แล้ว บัดนี้เพื่อจะตรัสกำลังแห่งสมาบัติ จึงตรัสพระพุทธดำรัสว่า
ตา โข ปน สารีปุตฺต เทวตา ทสปิ หุตฺวา เป็นต้น. ในบาลี
ประเทศนั้น ควรจะนำเนื้อความมา ด้วยอำนาจยศบ้าง ด้วยอำนาจสมาบัติ
บ้าง. จะกล่าวด้วยอำนาจยศก่อน เทวดาพวกเป็นใหญ่มาก ได้ยืนอยู่ใน
ที่แห่งละ 10 องค์ เทวดาพวกเป็นใหญ่น้อยกว่าพวกนั้น ได้ยืนอยู่ในที่
แห่งละ 20 องค์. เทวดาพวกเป็นให้น้อยกว่าพวกนั้น ฯลฯ ได้ยืนอยู่
ในที่แห่งละ 60 องค์. ส่วนด้วยอำนาจสมาบัติ พึงทราบ ดังนี้ เทวดา
เหล่าใดเจริญสมาบัติชั้นประณีต เทวดาเหล่านั้น ได้ยืนอยู่ในที่แห่งละ
60 องค์. เทวดาเหล่าใดเจริญสมาบัติต่ำกว่านั้น เทวดาเหล่านั้น ได้ยืน

อยู่ในที่แห่งละ 50 องค์. เทวดาเหล่าใดเจริญสมาบัติต่ำกว่านั้น ฯลฯ
เทวดาเท่านั้น ได้ยืนอยู่ในที่แห่งละ 10 องค์. อีกอย่างหนึ่ง เทวดา
เหล่าใดเจริญสมาบัติขึ้นต่ำ เทวดาเหล่านั้น ได้ยืนอยู่ในที่แห่งละ 10 องค์
เทวดาเหล่าใดเจริญ สมาบัติประณีตกว่านั้น เทวดาเหล่านั้นได้ยืนอยู่ในที่
แห่งละ 20 องค์ เทวดาเหล่าใดเจริญสมาบัติประณีตกว่านั้น ฯลฯ เทวดา
เหล่านั้น ได้ยืนอยู่ในที่แห่งละ 60 องค์.
บทว่า อารคฺคโกฏินิตุทนมตฺเต แปลว่า ในที่ว่างพอจดปลายเข็ม
ลงได้. บทว่า น จ อญฺญมญฺญํ พฺยาพาเธนฺติ ความว่า ถึงยืนอยู่ในที่
แคบอย่างนี้ ก็ไม่เบียดกัน ไม่สีกัน ไม่กดกัน ไม่ดันกันเลย มิได้มีเหตุ
ที่จะต้องพูดว่า มือท่านบีบเรา เท้าท่านเบียดเรา ท่านยืนเหยียบเรา
ดังนี้. บทว่า ตตฺถ นูน ได้แก่ ในภพนั้นเป็นแน่. บทว่า ตถา จิตฺตํ
ภาวิตํ
ความว่า จิตอันเทวดาเหล่านั้นอบรมด้วยอาการนั้น. บทว่า เยน
ตา เทวตา
ความว่า จิตที่เทวดาอบรมด้วยอาการนั้น จึงเป็นเหตุให้เทวดา
เหล่านั้นแม้มีจำนวน 10 ฯลฯ ก็ยืนอยู่ได้และไม่เบียดกันและกัน. บทว่า
อิเธว โข ได้แก่ ในศาสนา หรือในมนุษยโลก. เป็นสัตตมีวิภัตติ.
ความว่า ในศาสนานี้แหละ. ในมนุษยโลกนี้แหละ. จริงอยู่ จิตอันเทวดา
เหล่านั้นอบรมแล้ว ในมนุษยโลกนี้แหละ และในศาสนานี้แหละ ซึ่งเป็น
เหตุที่เทวดาเหล่านั้นบังเกิดในรูปภพที่มีอยู่ ก็แลเทวดาเหล่านั้นมาจาก
รูปภพนั้นแล้ว เนรมิตอัตภาพละเอียดยืนอยู่อย่างนี้. บรรดาเทวดา
เหล่านั้น แม้เทวดาที่ทำมรรคและผล 3 ให้บังเกิดในศาสนาของพระ-
กัสสปทศพลจะมีอยู่ก็จริง ถึงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำว่า
พระสัพพัญญูพุทธเจ้าทั้งหลาย มีอนุสนธิตามต่อเนื่องอย่างเดียวกัน ศาสนา

คำสอนอย่างเดียวกัน เมื่อทรงทำศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ เป็น
พระพุทธศาสนานี้แล จึงตรัสว่า อิเธว โข สารีปุตฺต ดังนี้ พระตถาคต
ตรัสกำลังแห่งสมาบัติ ด้วยพระพุทธดำรัสเพียงเท่านี้ .
บัดนี้ เมื่อจะตรัสอนุสาสนีตามระบบ ปรารภพระสารีบุตรเถระ
จึงตรัสว่า ตสฺมาติห สารีปุตฺต ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตสฺมา
ความว่า เพราะเหตุที่เทวดาเหล่านั้นทำสมาบัติที่มีอยู่ในภพนี้แหละให้
บังเกิดแล้วจึงได้บังเกิดในภพที่มีอยู่. บทว่า สนฺตินฺทฺริยา แปลว่า
มีอินทรีย์สงบ เพราะอินทรีย์ทั้ง 5 สงบ เย็น ประณีต. บทว่า
สนฺตมานสา แปลว่า มีใจสงบ เพราะใจสงบ เย็น ประณีต. บทว่า
สนฺตํเยวุปหารํ อุปหริสฺสาม ความว่า พวกเราจักเสนอความนับถือบูชา
ด้วยกายและใจ ซึ่งเป็นความนับถือบูชาอันสงบ เย็น ประณีต ทีเดียว.
บทว่า สพฺรหฺมจารีสุ ได้แก่ในสหธรรมิกทั้งหลายผู้ประพฤติธรรมชั้นสูง
ที่เสมอกัน มีเป็นผู้มีอุเทศอันเดียวกันเป็นต้น. ด้วยพระพุทธดำรัสนี้ว่า
เอวญฺหิ เต สารีปุตฺต สิกฺขิตพฺพํ ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำ
เทศนาให้เป็นภาษิตของพระสัพพัญญูพุทธะโดยฐานเพียงเท่านี้. บทว่า
บทว่า อนสฺสุํ แปลว่า เสีย เสียหาย. บทว่า เย อิมํ ธมฺมปริยายํ
นาสฺโสสุํ
ความว่า พวกนักบวชผู้นับถือลัทธิอื่น อาศัยทิฏฐิของตน
ที่ลามก เปล่าสาระ ไร้ประโยชน์ ไม่ได้ฟังธรรมเทศนานี้ เห็นปานนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจบเทศนาคามอนุสนธิ ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถาสูตรที่ 5

สูตรที่ 6


ว่าด้วยกามราคะและทิฏฐิราคะเป็นเหตุให้วิวาทกัน


[282] 36. สมัยหนึ่ง ท่านพระมหากัจจานะอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำ
กัททมทหะ ใกล้พระนครวรณา ครั้งนั้นแล พราหมณ์อารามทัณฑะได้
เข้าไปหาท่านพระมหากัจานะถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระมหากัจจานะ
ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามว่า ดูก่อนท่านกัจจานะ อะไรหนอเป็นเหตุ
เป็นปัจจัย เครื่องให้กษัตริย์กับกษัตริย์ พราหมณ์กับพราหมณ์ คฤหบดี
กับคฤหบดี วิวาทกัน ท่านมหากัจจานะตอบว่า ดูก่อนพราหมณ์ เพราะ
เหตุเวียนเข้าไปหากามราคะ ตกอยู่ในอำนาจกามราคะ กำหนัดยินดีในกาม-
ราคะ ถูกกามราคะกลุ้มรุม และถูกกามราคะท่วมทับ แม้กษัตริย์กับกษัตริย์
พราหมณ์กับพราหมณ์ คฤหบดีกับคฤหบดี ก็วิวาทกัน.
อา. ดูก่อนกัจจานะ ก็อะไรเป็นเหตุ เป็นปัจจัย เครื่องให้สมณะ
กับสมณะวิวาทกัน .
มหา. ดูก่อนพราหมณ์ เพราะเหตุเข้าไปหาทิฏฐิราคะ ตกอยู่ใน
อำนาจทิฏฐิราคะ กำหนัดยินดีในทิฏฐิราคะ ถูกทิฏฐิราคะกลุ้มรุม และ
ถูกทิฏฐิราคะท่วมทับ แม้สมณะกับสมณะก็วิวาทกัน.
อา. ดูก่อนกัจจานะ ก็ในโลก ยังมีใครบ้างไหม ที่ก้าวล่วงการ
เวียนเข้าไปหากามราคะ การตกอยู่ในอำนาจกามราคะ การกำหนัดยินดี
ในกามราคะ การถูกกามราคะกลุ้มรุม และการถูกกามราคะท่วมทับนี้
และก้าวล่วงการเวียนเข้าไปหาทิฏฐิราคะ การตกอยู่ในอำนาจทิฏฐิราคะ
การถูกทิฏฐิราคะกลุ้มรุม และการถูกทิฏฐิราคะท่วมทับนี้เสียได้.